วันจันทร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2559

วิธีทำกล่องไฟถ่ายภาพด้วยกล่องลังกระดาษแข็ง ตอนที่ 1

 ประตูให้ลงจากรถ พลฯ จันทร์ ช้างทอง โดดลงพอยืนได้ก็วิ่งถลาไปข้างหน้า คว้าจักรยาน (ของใครก็ไม่รู้) ถีบหนีไปซึ่งๆ หน้า เจ้าหน้าที่ตกตะลึงพรงเพริดเพราะไม่คิดว่าจะเกิดเหตุเช่นนั้น นักโทษที่ผ่านการตัดสินประหารชีวิตนั้นจะว่าไปก็มีการจองจำอย่างมั่นคงอยู่แล้ว แต่นักโทษจันทร์เตรียมการมาก่อนแล้วด้วยการใช้ตะไบซึ่งญาติเอาชุกมากับสิ่งของส่งมาเยี่ยมเลื่อยส่วนที่เป็นวงแหวนของตรวนขนาด หุน,จนขาด แต่ระหว่างที่นั้งมาในรถได้ใช้ผ้าปิดคลุมเอาไว้ ฉะนั้น จึงสามารถสลัดตรวนออกแล้วโดดลงมาได้ แม้จะเป็นจักรยานแต่ตำรวจก็ไม่สามารถตามจับมาได้นักโทษจันทร์หลบหนีไปได้เดือนเศษ ตำรวจก็สืบรู้ว่าไปหลบซ่อนที่ลันกำแพง ตำบลบ้านปาเมี่ยง ตำรวจล้อมบ้านหลังหนึ่งในตอนพลบคํ่าจึงมีการต่อสู้กัน แล้วผู้ร้ายก็ตายตอนจบด้วยลูกปีน จะต่างกันก็ตรงที่ไม่ใช่ยืนให้ยิงที่หลักประหารเท่านั้นจะเห็นว่า เหตุการณ์นี้เกิดจากบุคคลที่สวมเครื่องแบบตำรวจตกเป็นจำเลยฐานฆ่าคนตาย ผ่านการพิจารณามาสองศาลที่เห็นว่าต้องประหารชีวิต กับเหตุการณ์ที่ศาลเหมือนกันที่ฉะเชิงเทรา ผ้ต้องหามีตำรวจ“นาย พลเรือน ๒ คน กล่องไฟไลท์บ็อกซ์  ทังศาลชันต้นและอุทธรณ์ตัดสินให้ปล่อย แต่เมื่อคดีถึงศาลฎีกาเหตุการณ์กลับตาลปัตรและตามมาด้วยพฤติกรรมที่ราวกับลอกแบบกันมาเลยก็ว่าได้พฤติกรรมรายนี้จำเลยสำคัญที่เป็นตำรวจเป็นผู้มีอิทธิพลคับบ้านคับเมืองก็ว่าได้ ทำให้การไปทำข่าวต้องวางแผนด้วยความไม่ประมาทจะด้วยเหตุใดผมก็จำไม่ได้แล้วว่า วันนั้นไปที่สถานีหัวลำโพงทำไมแล้วพบกับประชุม กาญจนวัฒน์ ผู้มืบ้านเกิดที่บางคล้า ฉะเชิงเทรา ลงมาจากรถไฟแล้วก็เล่าพฤติกรรมที่เกิดขึ้นที่ฉะเชิงเทราเมื่อตำรวจเผ่นหนีศาลพร้อมกันหมดทั้งแปดคน (เป็นพลเรือน ๒ คน) หลังจากผู้พิพากษาได้อ่านการวินิจฉัยและตัดสินของศาลฎีกาแล้ว 

 ขออนุญาตเรียบเรียงเนื้อหาของเหตุที่เกิดขึ้น ดังนี้ศาลฎีกาได้เรียกจำเลยทั้งแปดคนอันมี จ.ส.ต.พาน, ส.ต.ท.ปรีชา,ส.ต.ต.ปราโมทย์, ส.ต.ต.ชาญดักดิ้, พลฯ จ้าน, พลฯ สุวรรณ, นายวินเสมียนมหาดไทย และนายวรรณ ให้มาฟังการตัดสินของศาลฎีกา จำเลยทั้งแปดคนผ่านการพิจารณาของศาลชั้นต้น, ศาลอุทธรณ์ตัดสินให้ปล่อยจำเลยที่ต้องหาว่าได้ฆ่านายสนุ่น โดยนายวรรณแจ้งให้จับนายสนุ่นข้อหาลักกระบือของนายวรรณ แต่แทนที่จะนำนายสนุ่นมาดำเนินคดี จำเลยรู้เห็นเป็นใจใช้ปันยิงกรอกปากนายสนุ่นตาย นายบุญช่วยบิดาของนายสนุ่นจึงแจ้งความดำเนินคดีศาลฎีกาพิจารณาแล้วเห็นว่าจำเลยมีความผิดตามฟ้อง จึงให้จำคุกส.ต.ต.ปราโมทย์กับนายวรรณตลอดชีวิต จ.ส.ต.พาน, ส.ต.ต.ปรีชา, ส.ต.ต.ชาญดักดี้, พลฯ จ้าน, พลฯ สุวรรณ photolightboxราคาถูก  และนายวิน จำคุกคนละ ๒๐ ปี การอ่านคำพิพากษานี้นายบุญช่วยได้มานั่งฟังอยู่ด้วยเมื่ออ่านคำพิพากษาแล้ว เจ้าหน้าที่หน้าบัลลังกิจึงนำสำนวนมาให้จำเลยซึ่งแต่งตำรวจทั้ง ๖ นายไม่มีการจองจำแต่อย่างใด เพราะมีการประกันตัวระหว่างฎีการวมทั้งพลเรือนด้วย นายวรรณทำท่าจะเซ็นชื่อก่อนแต่เมื่อเหลือบไปเห็นเพื่อนอีก ๗ คน เดินออกจากบัลลังก์เหมือนไม่สนใจนายวรรณรีบวางปากกาแล้วตามคนทั้ง ๗ ออกมาส.ต.ต.ปราโมทย์กระซากปีนออกมาพร้อมทั้งประกาศหน้าที่ทำการศาลว่า หากใครต้องการตัวก็ขอให้เข้ามาจับ ด้วยท่าทางและปีนในมืออย่างนั่นจะมีใครหน้าไหน ถึงตำรวจก็เถอะ แล้วตำรวจสามนายก็คว้าเอาจักรยาน (ของใครก็ไม่รู้) ที่จอดอยู่หน้าศาลชื่ออกไปโดยเร็ว ล่วนอีก๕ คนนั่นแยกย้ายออกไปจ.ส.ต.พานกับพวกบางคนมุ่งไปที่โรงแรมเย็นใจ ซึ่ง จ.ส.ต.พานทำหน้าที่เป็นผู้จัดการอยู่ที่นั่น ที่แยกกันไปก็ไปรอที่ท่าเรือเขียวไข่กา จ,ส.ต.พานไปถึงโรงแรมแล้วเก็บของใช้ส่วนตัวลงกระเป๋า คนที่ตามมาด้วยกันก็ลงไปรอที่เรือยนต์ชี่งจอดในคลองข้างโรงแรม จ.ส.ต.พานตามมาสมทบขับเรือออกไปที'ท่าเขียวไข่กา รับเอาพรรคพวกที่รออยู่แล่นออกไปทางแม่'นาบางปะกงส่วนนายบุญช่วยนั้นเมื่อเห็นเหตุการณ์อันคาดไม,ถึงก็รืบกลับบ้านเก็บเสื้อผ้ายัดใส่กระเป๋าด้วยเหมือนกัน เดินทางเข้ากรุงเทพฯ ไม่รู้เหมือนกันว่าลี้ภัยหรือกลัวตาย?นั้นคือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงทั้งหมด ผมเดินทางไปฉะเชิงเทราโดยรถไฟ รถไฟใช้เวลาสองชั่วโมงจากหัวลำโพงซึ่งออกเวลา  กล่องไฟถ่ายรูปสินค้า จากนั้นผมนั่งสามล้อไปที่ศาลก่อน แต่เมื่อได้ทราบว่าปลัดจังหวัดขณะนั้นคือ

ร.ต.ท.ชาญ สุทธะ'พินทุ อดีตนายอำ๓อเมืองชล รู้จักกับผมดี เพราะผมเคยร่วมทำละครเวทีหาเงินสร้างโรงเรียนวัดช่องลมบางทราย ผมจึงเร่ไปหาแล้วเล่าให้ฟังว่ามาทำไม ปลัดจังหวัดจึงเล่าให้ฟังเท่าที่รับทราบเหตุการณ์และว่าเรื่องนี้ ฃุนวรคุตคณารักษ์ ผู้ว่าฯ ทราบเรื่องดีตามรายงานของตำรวจ จากนั้นผมจึงไปพบผู้ว่าฯ แล้วออกความเห็นว่า “เชื่อผมเถอะ ไปไหนไม่รอดหรอก บ้านช่องมันอยู่ในเมืองกันทั้งนั้น”จากผู้ว่าฯ ผมกลับไปที่ศาล ถ่ายภาพศาลและเล้นทางจากศาลออกไป ระหว่างถ่ายภาพอยู่มืเสียงพูดเข้าหูผม “ทำอะไรระวังหน่อยนะพรรคพวกที่นี่หูตาของเขามาก” ผมรู้ทันทีว่าหมายถึงผม เมื่อหันขวับมาจึงพบว่าคนที่พูดนั้นคือประภัศร์ เพื่อนผมซึ่งทำงานอัยการย้ายมาจากชลบุรีอีกเหมือนกัน ผมจึงฃอดูสำนวนก่อนแล้วก็ถามไถ่กันอีก“เราไม่อยากคุยตรงนี้” เขาพูดเบามากแล้วรั้งผมออกมานั่งสามล้อหน้าศาลไปที่แห่งหนึ่งซึ่งห่างจากที่ทำการศาลประมาณ 4roo เมตรประภัศร์พบเหตุการณ์โดยบังเอิญ เขาถีบจักรยานมาที่ศาลพอดีกับกลุ่มจำเลยที่ฃี่จักรยานขี่สวนทางกัน  diyกล่องไฟ เขาถามผมว่าจะทำอะไรต่ออีก ผมบอกว่าอยากถ่ายภาพโรงแรมเย็นใจ ประภัศร์อึกอักบ่นไม่อยากให้ผมเสี่ยง  แต่ผลที่สุดก็บอกตำแหน่งแห่งที่ให้เรียบร้อย ก่อนจากกันเขากำชับผมว่าถ้าธุระเรียบร้อยแล้วให้รีบกลับโดยเร็ว อย่ารีรออยู่อีกนั่นแสดงถึงอิทธิพลของจำเลย เฉพาะอย่างยิ่ง จ.ส.ต.พานผมเชื่อประภัศร์จึงนั่งสามล้อกลับไปสถานีรถไฟ ซื้อตั๋วโดยสารกำหนดเที่ยวประมาณ ๑๕.00 หรือ ๑๖.๐๐ น. ก็จำไม่ได้ แล้วนั่งสามล้อไปตามถนนที่ตรงไปยังสะพานข้ามคลอง ซึ่งเมื่อยืนบนสะพานนั้นจะมองเห็นโรงแรมเย็นใจ แต่ผมยังไม่ถ่ายรูปเพียงแต่จับเวลาดูว่า จากสถานีรถไฟมาถึงตรงเชิงสะพานนั้นกี่นาที ผมมองดูนาพีกายังมีเวลา จึงเดินไปแวะที่ร้านกาแฟลังโอเลี้ยงมาดื่มฆ่าเวลาไปพลาง

กล่องไฟถ่ายรูป

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น